บทที่ 5 อินเทอร์เน็ต
1. อินเทอร์เน็ต
1.1 ความหมายของอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ต (Internet)
เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขององค์กรธุรกิจ
หน่อยงานของรัฐบาล สถานศึกษา ตลอดจนเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เหล่านี้สามารถเข้าถึงได้จากคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น
ๆ จากที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน สำนักงาน โรงเรียน ชายทะเล หรือร้านอาหารทั่วโลก
ในปัจจุบันมีคนจากทั่วโลกนับพันล้านคนที่เข้าถึงบริการบนอินเตอร์เน็ต เช่น
เวิลด์ไวด์เว็บ อีเมล์ (e-mail)
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) ห้องคุย (chat room)
การส่งการทันที
(Instant messaging) และวอยซ์โอเวอร์ไอพีหรือวีโอไอพี
1.2 โครงสร้างพื้นฐานของอินเตอร์เน็ต
ประกอบด้วยเครือข่ายระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค
ระดับชาติ และระดับนานาชาติ ที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
อินเตอร์เชื่อมโยงข้อมูลจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังเครือข่ายอื่นด้วยความเร็วและคุณภาพที่ต่างกัน
ขึ้นอยู่กับรูปแบบการสื่อสาร และสื่อที่ใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่าย เช่น
สายโทรศัพท์ สายไฟเบอร์ออพติก และคลื่นวิทยุ
ถึงแม้ปัจจุบันพื้นที่ให้บริการอินเตอร์เน็ตทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อินเตอร์เน็ตก็ยังเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ
หน่วยงานทางของรัฐและเอกชนมีหน้าที่ในการดูแล และจัดการจราจรข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตในเฉพาะเครือข่ายที่ได้รับผิดชอบ
1.3 การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
ผู้ใช้ที่เป็นคนทำงาน
นักเรียนหรือนักศึกษา มักจะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง
ขณะที่ผู้ใช้ทั่วไปใช้วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตโดยใช้โมเด็มผ่านสายโทรศัพท์
ที่ซึ่งเป็นอินเตอร์เน็ตในความเร็วต่ำ หรือเชื่อมต่อจากบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต (broadband internet connection) เช่น เอดีเอสแอล (Asymmetric Digital Line: ADSL) เคเบิลโมเด็มที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเคเบิลทีวี หรือเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย เช่น ไวไฟ
หรืออินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
สถานที่สาธารณะหลายแห่ง
เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย สนามบิน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม
มักจะมีบริการอินเตอร์เน็ตมีสายและไร้สาย เพื่อให้ผู้ใช้อุปกรณ์ และ
พกพาสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้สะดวก
ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ต
หรือ ไอเอสพี (Internet
Service Provider : ISP) ให้บริการการเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้
โดยอาจคิดค่าบริการเป็นรายเดือน
บริษัทที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต ในประเทศไทย เช่น ทีโอที ซีเอส ล็อกช์อินโฟ กสท. โทรคมนาคม
ทีทีแอนด์ที และ สามารถเทลคอม นอกจากนี้ ไอเอสพี ยังให้บริการเสริมอื่น เช่น อีเมล
เว็บเพจ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล
หรือโทรศัพท์ระหว่างประเทศ
ตัวอย่างการเข้าสู่บริการอินเตอร์เน็ตโดยผ่านผู้ให้บริการ
1.4 การติดต่อสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต
คอมพิวเตอร์ที่ติดต่อสื่อสารระหว่างกันบนอินเทอร์เน็ต
มีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น ประเภทของคอมพิวเตอร์ ซีพียู
หรือระบบปฏิบัติการนอกจากนี้รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เข้าสู่อินเทอร์เน็ตไม่จะเป็นแลนหรือแวนก็อาจมีรูปแบบที่แตกต่างกัน
การที่อินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่มีความแตกต่างกันให้สามารถทำงานร่วมกันได้
เนื่องจากใช้โพรโทคอลเดียวกันในกันสื่อสารที่เรียกว่า ทีซีพี/ไอที(Transmission Control
Protocol/Internet Protocol: TCP/IP )
เลขที่อยู่ไอพี
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกันอยู่บนอินเทอร์เน็ต
จะมีหลายเลขอ้างอิงในการติดต่อสื่อสารเรียกว่า เลขที่อยู่ไอพีแอดเดรส (IP address) ซึ่งจะต้องไม่ซ้ำกันเลย
โดยไอพีแอดเดรสประกอบด้วยเลข 4 ชุด ซึ่งแยกกันด้วยเครื่องหมายจุด เช่น
202.29.77.155
ซึ่งเป็นไอพีแอดเดรสของเว็บไซต์สถานบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(สสวท.)
ระบบชื่อโดเมน
เนื่องจากเลขที่อยู่ไอพีอยู่รูปแบบของชุดตัวเลขซึ่งยากต่อการจดจำและอ้างอิงระหว่างในการใช้งานดังนั้นจึงกำหนดให้มีระบบชื่อโดเมน
(Domain Name System:
DNS)ซึ่งแปลงเลขที่อยู่ไอพีให้เป็นชื่อโดเมนที่อยู่ในรูปแบบของชื่อย่อภาษาอังกฤษหลายส่วนคั่นด้วยเครื่องหมายจุด
เช่น www.ipst.ac.th ผู้ใช้สามารถจดทะเบียนชื่อโดเมนสำหรับคอมพิวเตอร์ของตนผ่านผู้ให้บริการจดทะเบียนชื่อโดเมนที่ได้รับอนุญาต
ตัวอย่างระบบชื่อโดเมน
2. เวิลด์ไวด์เว็บ
เวิลด์ไวด์เว็บ (world wide web) หรือเรียกสั้นๆ ว่า เว็บ
เป็นการให้บริการข้อมูลแบบไฮเปอร์เท็กซ์ (hypertext) ที่ประกอบไปด้วยเอกสารจำนวนมากที่มีการเชื่อมโยงกัน
ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่ผู่ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงโพรโทคอลที่เรียกว่าเอชทีทีพี
(Hypertext Transfer
Protocol: HTTP) นอกจากนี้เวิลด์ไวด์เว็บคอนเซอร์เทียม
ได้นิยามคำว่า เว็บ คือ จักรวาลของสารสนเทศที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านเครือข่าย
และทำให้เกิดองค์ความรู้แกมนุษยชาติ สำหรับคำที่เกี่ยวข้องกับเวิลด์ไวด์เว็บที่ควรทราบ
เช่น เว็บเพจ (web page) เป็นหน้าเอกสารที่เขียนขึ้นในรูปแบบภาษาเอชทีเอ็มแอล
(Hypertext markup
language: HTML) ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปยังเอกสารหน้าอื่นได้
โดยเรียกดูผ่านเว็บเบราว์เซอร์
เว็บไซต์ (web
site) เป็นกลุ่มของเว็บเพจที่มีความเกี่ยวข้องกัน
ปละอยู่ภายใต้ชื่อ โดเมนเดียวกัน
เว็บเซิร์ฟเวอร์ (web
server) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการเว็บเพจ
เมื่อผู้ใช้ร้องขอเว็บเพจผ่านเว็บเบราว์เซอร์ โดยใช้ยูอาร์แอล (Uniform Resource Locator : URL ) ระบุตำแหน่งของเว็บเพจ เว็บเซิร์ฟเวอร์จะว่งเว็บเพจที่ค้นหาได้กลับไปแสดงผลผ่านเว็บเบารว์เซอร์ของผู้ใช้
2.1 การเรียกดูเว็บ เว็บเบราว์เซอร์ (Web browser)
เป็นโปรแกรมใช้สำหรับแสดงเว็บเพจ
และสามารถเชื่อมโยงไปยังส่วนอื่นในเว็บเพจเดียวกันหรือเว็บเพจอื่นผ่านการเชื่อมโยงหลายมิติ
หรือไฮเปอร์ลิงค์ (hyperlink)
เรียกสั้นๆ ว่า ลิงค์ (link) เว็บเบราว์เซอร์ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการใช้งานอินเตอร์เน็ต
นอกเหนือไปจากการสื่อสารหรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างเครือข่าย
ตัวอย่างเว็บเบราว์เซอร์ เช่น Mozilla Firefox, Microsoft Internet Explorer, Apple Safari, Google Chrome
และ Opera
2.2 ที่อยู่เว็บ
ในการอ้างอิงตำแหน่งของแหล่งข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตที่ผู้ใช้ร้องขอ
เช่น เว็บเพจ สามารถทำได้โดยการระบุยูอาร์แอล (Uniform Resource Locator : URL) ซึ่งมีแบบดังนี้
โพรโทคอล
ใช้สำหรับระบุมาตรฐานที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านเว็บ เช่น เอชทีทีพี
ลและเอฟทีฟี (File
transfer protocol: FTP) ในกรณีของเชอทีทีพี
ส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้สามารถจะละส่วนของโพรโทคอลนี้ได้ เนื่องจากถ้าไม่รระบุโพรโทคอล
เว็บเบราว์เซอร์จะเข้าใจว่าผู้ใช้มีความประสงค์จะใช้โพรโทคอล
เอชทีทีพีเพื่อเข้าถึงเว็บเพจ
ชื่อโดเมน ใช้สำหรับระบุชื่อโดเมนของเว็บเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการข้อมูล
เช่น ชื่อเมน www.ipst.ac.th
เส้นทางเข้าถึงไฟล์ (path) ใช้สำหรับระบุตำแหน่งของไฟล์จากเว็บเซิร์ฟเวอร์
ชื่อข้อมูล
ชื่อไฟล์ที่ร้องขอ เช่น ไฟล์ไฮเปอร์เท็กซ์ ไฟล์รูปภาพ ไฟล์วีดิทัศน์ ไฟล์เสียง
ในกรณีที่ยูอาร์แอลระบุเฉพาะชื่อโดเมนโดยไม่ได้ใช้ระบุเส้นทางเข้าถึงไฟล์
และ/หรือชื่อๆฟล์มีความหมายว่าให้เข้าถึงหน้าหลัก หรือโฮมเพจ (home page) ของเว็บเซิร์ฟเวอร์นั้น
ซึ่งโยทั่วไปเป็นการเข้าถึงชื่อไฟล์ที่กำหนดไว้ เช่น index.html, main.phpและ default.asp
2.3 การค้นหาผ่านเว็บ
โปรแกรมค้นหา หรือเสิร์ชเอนจิน (SEARCH ENGINES) ใช้ค้นหาสำหรับเว็บเพจที่ต้องการโดยระบุคำหลักหรือคำสำคัญ
(KEYWORD) เพื่อนำไปค้นหาฐานข้อมูลขนาดใหญ่
ซึ้งรวบรวมเว็บเพจต่างๆ
ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นรายการเว็บเพจที่ประกอบด้วยคำหลักที่ระบุ ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกประเภท
หลากหลายรูปแบบ เพื่อการศึกษาหรือเพื่อความบันเทิงได้อย่างรวดเร็ว
โปรแกรมค้นหาสามารถให้บริการข้อหาข้อมูลตามประเภท
หรือแหล่งของข้อมูล เช่น ค้นหาเฉพาะข้อมูลที่เป็นภาพ วีดิทัศน์ เสียง ข่าว แผ่นที่
หรือบล็อก โปรแกรมข้อหาแต่ละโปรแกรมอาจใช้วิธีที่แตกต่างกันในการจัดอันดับความเกี่ยวข้องของเว็บเพจกับคำหลักที่ระบุ
โดยเว็บเพจที่มีความเกี่ยวข้องกับคำหลักมากที่สุดจะอยู่ในอันดับบนสุด
ตัวอย่างโปรแกรมค้นหา เช่น Ask AltaVista Bing Google และ yahoo
ตัวการดำเนินการในกานค้นหา
เพื่อให้การค้นหาข้อมูลด้วยโปรแกรมค้นหาเป็นไปอย่างมี่ประสิทธิภาพ
ผู้ใช้สามารถใช้ตัวดำเนินการในการค้นหา(search engine operators)ประกอบกับคำหลัก จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ในการค้นหาที่ดียิ่งขึ้น
2.4 เว็บ 1.0 และเว็บ2.0
เว็บ1.0(wed 1.0)เป็นเว็บในยุดแรกเริ่มที่มีลักษณะให้ข้อมูลแบบทางเดียว ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงเพจในฐานะผู้บริโภคข้อมูลและสารสนเทศตามที่ผู้สร้างได้รับรายระเอียดไว้เพียงอย่างเดียวไม่ค่อยมีการปรับปรุงให้ทันสมัย
และมีรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากข้อจำกัดหลายประการ เช่น
ความรู้ความสามรถในการใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีระบบเครือข่ายช่องทางในการเชื่อมต่อเข้าสู้อินเตอร์เน็ต
เทคโนโลยีในการพัฒนาเว็บ อีกทั้งจำนวนผู้สร้างเว็บมีอยู่เป็นจำนวนน้อย
กว่าเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เข้าถึงเว็บเพื่อบริโภคข้อมูลและสารสนเทศ
ต่อมามีการพัฒนาเทคโนโลยีที่สนับสนุนการใช้งานบนอินเตอร์เน็ต
ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเป็นส่วนหนึ่งของผู้ให้ข้อมูลในรูปแบบต่างๆที่ปรากฏบนเว็บเพจ
เช่น การโพสต์ข้อความ รูปภาพ วีดิทัศน์
ความคิดเห็น การจัดอันดับ
ด้วยความแตกต่างที่พบได้ดังนี้จริงได้มีการเรียกเว็บประเภทนี้ว่าเว็บ 2.0 (wed 2.0)
ลักษณะเด่นที่พบในเว็บ
2.0 ที่แตกต่างจากเว็บ 1.0 เช่น มีการสร้างเครือข่ายทางสังคมผ่านเว็บไซด์
มีการพัฒนาความร่วมมือแบบออนไลน์
มีการแบ่งปันข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้ใช้อินเตอร์เน็ต
รวมถึงมีการใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่
หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาเพิ่มมากขึ้น
3. บริการบนอินเตอร์เน็ต
บริการอินเตอร์เน็ต
เป็นบริการเพื่อตอบสนองความต้องการในด้านการสื่อสารของผู้ใช้ในรูปแบบต่างๆทั้งในระดับ
บุคคล กลุ่ม และองค์กร ในปัจจุบัน
มีการบริการอินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางในการแบ่งปันความคิด ข้อมูล สารสนเทศ รวมถึงความรู้โดยอาศัยเครื่องมือ
เทคโนโลยีในการบริการต่างๆบนอินเตอร์เน็ต
3.1 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล (E-maill)
บริการรับส่งจดหมายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้
โดยสามารถส่งได้ทั้งข้อความ และไฟล์ต่างๆ ซึ่งผู้รับและผู้ส่งต้องมีที่อยู่อีเมล (E-maill Add Ress) เพื่อระบุตัวตนบนเครือข่าย
เปรียบเสมือนเป็นที่อยู่ที่ใช้รับและส่งจดหมาย
มารยาทของการสื่อสารผ่านอีเมล
1. ใช้หัวเรื่องที่สรุปสาระสำคัญของเนื้อหาอีเมล
2. เขียนเนื้อหาให้มีสาระในการสื่อสารที่ชัดเจน
3. เขียนข้อความให้กระชับ
ไม่เยิ่นเยื้อ เหมาะสมกับการะเทศะ และลงชื่อผู้เขียนทุกครั้ง
4.
ใช้ DCC ในการระบุผู้รับเมื่อส่งข้อความถึงผู้รับจำนวนมาก
เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้รับที่ระบุใน DCC
5.
อย่าใช้อักษรภาษาอังกฤษ ตัวพิมพ์ใหญ่ ซึ่งแสดงถึงการตะโกน หรือข่มขู่ผู้อ่าน
6.
จัดระเบียบข้อความเป็นย่อหน้าเพื่อสะดวกต่อความต้องการต่อการอ่าน
7.
ใช้ภาษาที่เหมาะสมและตัวสะกดที่ถูกต้อง
8.
ใช้การตอบกลับ (Reply) แทนการเขียน (Compose) ข้อความใหม่
9.
ใช้การตอบกลับไปยังทุกคนเมื่อจำเป็น
10.
ใช้ตัวอักษรย่อหรือสัญรูปอารมณ์ที่ไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป
3.2 การสื่อสารในเวลาจริง (Real Time Communication)
เป็นการสื่อสาร
ระหว่างบุคคลที่สามารถโต้ตอบกลับได้ทันทีผ่านเครือข่ายการสื่อสาร
สามารถส่งเป็นข้อความภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง ไปยังผู้รับ
ในการสื่อสารนี้ผู้ใช้ต้องเข้าใช้ระบบในขณะเดียวกันและข้อความจะถูกส่งจากผู้ใช้หนึ่งไปยังผู้ใช้หนึ่งทุกคนในกลุ่มได้
ตัวอย่างการสื่อสารในเวลาจริง เช่น การแชท ห้องคุย และวอยซ์โอเวอร์ไอพี
แชท (Chat) เป็นการสนทนาผ่านอินเตอร์เน็ต ทั้งระหว่างบุคคล
หรือ ระหว่างกลุ่มบุคคล โดยอาศัยโปรแกรมประยุกต์ เช่น windows live และ yahoo messenger ตัวอย่างโปรแกรมแชท
ห้องคุย
(Chat Room) เป็นการสนทนาผู้ใช้สามารถเลือกประเภทของหัวข้อที่สนใจซึ่งแบ่งไว้เป็นห้องต่างๆ
เพื่อพูดคุยกันระหว่างบุคคลหรือเป็นกลุ่ม การสนทนารูปแบบนี้อำนวยความสะดวก
เพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดเวลาการสื่อสารข้อความไปยังบุคคลต่างๆ โดยอาจ
จะสื่อสารในรูปแบบข้อความ การแบ่งปันไฟล์ หรือ
การใช้เว็บแคมควบคู่กันไประหว่างการสื่อสาร ตัวอย่างห้องคุย เช่น CHATABLANCA
วอยซ์โอเวอร์ไอพี หรือวีโอไอพี (Voice Over IP : VoIP) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถคุยกับผู้อื่นผ่านทางอินเทอร์เน็ต
3.3 เว็บไซต์เครื่องข่ายทางสังคม
(social
networking web sites)
เป็นชุมชนออนไลน์ที่สมาชิกในชุมชนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน
โดยมีเป้าหมายในการเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้
โดยอาจเชื่อมผ่านกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีผู้ใช้มีความสนใจร่วมกัน เช่น
การแบ่งปันวีดีทัศน์ การเล่าสู่กันฝังถึงประสบการณ์ที่ได้รับ
การแสดงความรู้สึกหรือความคิดเห็น การทำความรู้จักกัน การมีส่วนร่วมในการอภิปราย
และการรวมกลุ่ม เพื่อทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ หรือให้ข้อมูลทั่วไป
ข้อมูลเชิงวิชาการ ข้อมูลในการประกอบอาชีพ ตัวอย่างเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม เช่นfacebook,myspace,linkedin,hi5และ GotoKnow
3.4 บล็อก (Blog)
เป็นระบบการบันทึกข้อมูลลำดับเหตุการณ์ในแต่ละวัน
ประสบการณ์ความคิดเห็นของผู้เขียนบล็อกผ่านเว็บไซต์ ในรูปแบบการนำเสนอหัวข้อ
ซึ่งผู้อ่านสามารถอ่านและแสดงความคิดเห็นได้ รายการหัวข้อที่ปรากฏในบล็อกมักจะเรียงลำดับหัวข้อที่นำเสนอล่าสุดไว้ที่ส่วนบน
คำว่า “บล็อก” มาจากคำว่า “เว็บล็อก” (Web log) เนื่องจากข้อมูลแต่ละหัวข้อไว้
หัวข้อข้อมูลหรือความเห็นที่ถูกนำเสนอในบล็อกอาจจัดทำโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เป็นเจ้าของบล็อก
หรือบุคคลที่มีความสนใจร่วมกัน
หรือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะเหมือนกันจนเกิดชุมชนในบล็อกขึ้น
ข้อมูลหรือความเห็นสามารถนำเสนอในรูปของข้อความ ภาพ หรือมัลติมีเดียได้
ตัวอย่างของบล็อก เช่น Blogger,
GoogleBlogและ
BLOGGANG
3.5 ไมโครบล็อก (Microblog)
เป็นบล็อกที่มีการแสดงหัวข้อและความคิดเห็นที่กระชับ
กะทัดรัด
ผู้ใช้ที่เป็นสมาชิกสามารถแลกหัวข้อจากบล็อกอื่นให้มาปรากฏในไมโครบล็อกของตนเอง
5.3.6 วิกิ (Wiki)
เป็นรูปแบบการเผยแพร่ข้อมูลที่บุคคลต่างๆ
ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญเฉพาะเรื่อง
หรือเป็นผู้ปรับปรุงข้อมูลที่มีอยู่เดิมให้ทุกต้องและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
รายละเอียดของข้อมูลที่เผยแพร่ก่อให้เกิดประโยชน์กับบุคคลทั่วไป
องค์กรธุรกิจสามารถใช้เป็นที่รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวกับการดำเนินการสำหรับให้บุคคลในองค์กรใช้อ้างอิงในการปฏิบัติงาน
ดังนั้น วิกิ จึงเหมาะสำหรับเก็บรวบรวมรายละเอียดของเอกสารที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ
3.7 อาร์เอสเอส (Really Simple Syndication: RSS)
เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เป็นประจำได้แบบอัตโนมัติ
โดยผู้ใช้ต้องขอรับบริการผู้ใช้ไม่ต้องเข้าไปยังเว็บไซต์ที่สนใจโดยตรง
ซึ่งแต่ละเว็บไซต์อาจมีความถี่ในการปรับปรุงข้อมูลที่แตกต่างกันไปผู้ใช้สามารถรับข้อมูลที่การให้บริการเผยแพร่แบบอัตโนมัติ ที่ปรากฏบนหน้าเว็บ
แล้วคลิกที่ปุ่มสัญลักษณ์ดังกล่าวเพื่อรวบรวมข้อมูลที่ขอรับบริการไว้เป็นสัดส่วนที่สะดวกต่อการเข้าถึง
3.8 พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce หรือ e-commerce)
เป็นการทำธุรกรรมซื้อขายโดยใช้เว็บไซต์เป็นสื่อในการเสนอสิ้นค่า
ทำผู้เข้าใช้บริการจากทุกประเทศเข้าถึงร้านค้าได้อย่างง่ายดาย และตลอด 24 ชม.
5.4 โปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์
ขณะใช้งานอินเตอร์เน็ตมักมีโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์แฝงมากับข้อมูล
โปรแกรมลักษณะนี้เรียกว่า มัลแวร์ (malware) เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำลายระบบคอมพิวเตอร์
เช่น
ไวรัส (Virus) ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้บริการและอาจร้ายแรงถึงขั้นทำลายระบบคอมพิวเตอร์ได้
เวิร์ม (Worm) หรือหนอนคอมพิวเตอร์
เป็นโปรแกรมแปลกปลอมที่สามารถคัดลอกตัวเองได้แล้วส่งไปยังคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ทันที
ม้าโทรจัน (Trojan
Horse) เป็นโปรแกรมแปลกปลอมที่ผ่านเข้าระบบคอมพิวเตอร์โดยการแอบแฝงตัวเองว่าเป็นคนอื่น
สปายแวร์ (Spyware) เป็นโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาให้คอยติดตามบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลรายงานข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนบนอินเตอร์เน็ตหรือทำการปลี่ยนการตั้งค่าของโปรแกรมเบราว์เซอร์ใหม่
ซึ่งก่อให้เกิดความรำคาญและทำให้ประสิทธิภาพการทำงานช้าลง
แอดแวร์ (Adware) เป็นโปรแกรมแอบแฝงที่เมื่อโปรแกรมได้รับการดาวน์โหลดหรือมีการติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้วจะแสดงหน้าต่าง
ป๊อปอัพ (Pop-up) มีการโฆษณษออกมาเป็นระยะ ๆ
สแปม (Spam) เป็นการใช้ระบบส่งอีเมล์ในการส่งข้อความที่ไม่พึงประสงค์กับผู้ใช้เป็นจำนวนมาก
สแปม ที่พบบ่อย คือการส่งข้อความโฆษณาสินค้า ผ่านระบบอีเมล์เรียกว่า เมลล์ขยะ (Junk Mail)
5. ผลกระทบการใช้งานอินเตอร์เน็ต
บริการบนอินเตอร์เน็ตมีการพัฒนาให้มีรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย
ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก
และรวดเร็วสามารถใช้เป็นเครื่องมอในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
ช่วยให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในเชิงวิชาการ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันในสังคมใหม่ที่เรียกว่า
สังคมในโลกไซเบอร์
เนื่องจากสมาชิกในโลกไซเบอร์สามารถสร้างตัวตนใหม่ที่อาจมีบุคลิก นิสัย
แม้แต่อายุที่แตกต่างไปจากตัวตนที่แท้จริง ทำให้เกิดปัญหาด้านต่าง ๆ เช่น
1. ปัญหาสุขภาพและความสัมพันธ์ทางสังคม
ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตต่อกันเป็นเวลานานเกินไปอาจก่อให้เกิดปัญหาโรคติดอินเตอร์เน็ต
2.
ปัญหาอาชาญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางในการก่ออาชาญากรรมหลายรูปแบบเช่น
เจาะระบบรักษาความปลอดภัย ให้สามารถเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์
เพื่อกระทำการใด ๆ กับคอมพิวเตอร์ให้เกิดความเสียหายในเชิงธุรกิจ
การบิดเบือนข้อเท็จจริง
ขโมยข้อมูลส่วนตัว
โดยช่องทางการสื่อสารหรืออินเตอร์เน็ต
โดยการปลอมแปลงเป็นผู้ดูแลระบบเพื่อหลอกล่อให้เป็นเยื่อเกิดความไว้วางใจ
และหลงเชื่อ
เผยแพร่ภาพอนาจาร การเผยแพร่ภาพอนาจารต่าง ๆ
โดยวิธีการที่หลากหลาย ผ่านการสร้างไฟล์ไวรัส เจาะเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์
3.
ปัญหาล่อลวงในสังคม จาการที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต
สร้างตัวตนขึ้นมาในการติดต่อสนทนากับผู้อื่นเพื่อล่อลวงให้คู่สนทนาสนใจตัวตนใหม่และนัดพบเพื่อกระทำอันตรายต่าง
บัญญัติ 10 ประการในการใช้งานคอมพิวเตอร์
1.
ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.
ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์รบกวนผู้อื่น
3.
ต้องไม่เปิดดูไฟล์ของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาต
4.
ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการโจรกรรมข้อมูล
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานเท็จ
6. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการคัดลอกหรือใช้โปรแกรมที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต
7.
ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ
8.
ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อนำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดจากโปรแกรมที่ตนเองพัฒนาขึ้น
10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบกติกาและมารยาทในสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น